Posts

หลังจากโพสต์ก่อนหน้า ที่เราแกะกล่อง + เปิดฝาดูวงจร ของอินเวอร์เตอร์รุ่นอัปเกรดจาก Y&H ไปแล้ว คราวนี้ถึงเวลานำมาติดตั้งใช้งานจริง โดยจากการใช้งานพบว่า อินเวอร์เตอร์สามารถเริ่มจ่ายไฟได้ทันทีเมื่อมีแสงแดด และมีระบบป้องกันความร้อนเกิน เมื่อเครื่องร้อนจัดจะลดกำลังจ่ายไฟลงอัตโนมัติ และกลับมาจ่ายเต็มเมื่ออุณหภูมิลดลง ข้อสังเกต ขณะโหลดสูง อินเวอร์เตอร์มีเสียงหม้อแปลงชัดเจน มีระบบป้องกันความร้อน เมื่อร้อนจัดจะลดกำลังจ่าย และกลับมาจ่ายเต็มเมื่อเย็นลง

เมื่อประมาณ 2 ปีก่อน เราเคยใช้ Y&H GMI700 Grid Tie Inverter สำหรับระบบโซลาร์เซลล์เล็กๆ ที่บ้าน ซึ่งก็ถือว่าคุ้มค่าและใช้งานได้ดีตามราคา แต่สุดท้ายก็ลาโลกไปเรียบร้อยหลังใช้งานอย่างต่อเนื่อง ครั้งนี้เลยได้โอกาสหาอินเวอร์เตอร์ตัวใหม่มาแทน และก็ไปเจอว่า Y&H เขาออกตัวอัปเกรดรุ่นใหม่ ซึ่งหน้าตาใกล้เคียงกันมาก แต่ปรับปรุงหลายจุด เช่น ใช้ High Power MOSFET ทนกระแสสูงกว่าเดิม มี Internal Potting ซีลวงจรภายใน กันฝุ่นและความชื้น เพิ่มกำลังเป็น 750W รองรับแรงดันขาเข้าได้ถึง 62V เลยสั่งมาทดสอบดู และในโพสต์นี้จะพา แกะกล่อง + เปิดฝาดูวงจรภายใน ว่ารุ่นใหม่นี้มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมบ้าง ข้อสังเกต Internal Potting ช่วยซีลวงจร แต่หากเครื่องเสีย อาจแกะซ่อมไม่ได้

ช่วงนี้มีหลายคนเริ่มสนใจทำบ้านให้ฉลาดขึ้น มีเพื่อนคนหนึ่งก็ทักมาถามว่า “ถ้าอยากเริ่มใช้ Home Assistant ต้องติดตั้งยังไง?” วันนี้เลยอยากมาเล่าประสบการณ์ส่วนตัวสั้นๆ เกี่ยวกับข้อดีของการติดตั้ง Home Assistant ผ่าน Proxmox โดยเฉพาะเรื่อง snapshot และ rollback ก่อนอัปเดตเวอร์ชันใหม่ เพื่อน: เฮ้ นายติดตั้ง Home Assistant ยังไงเหรอ? เรา: เราติดตั้งผ่าน Proxmox นะ สะดวกดี เพื่อน: หรอ แล้วมันดียังไงอ่ะ? เรา: ข้อดีที่ชอบมากคือ เราสามารถ snapshot ก่อนอัปเดตเวอร์ชันใหม่ได้เลย เพื่อน: โอ้ แบบนี้ไม่ต้องกลัวระบบพังเลยดิ เรา: ใช่ สบายใจกว่าเยอะ หมายเหตุ: ระบบที่ใช้งานอยู่คือ Proxmox VE 8.4.1 ติดตั้งด้วย ZFS เพื่อรองรับ snapshot/rollback ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ วิธีสร้าง Snapshot ใน Proxmox เข้า Proxmox Web UI แล้วเลือก VM ที่รัน Home Assistant ที่เมนูด้านข้าง ให้คลิกที่ “Snapshots” กดปุ่ม “Take Snapshot” ใส่ชื่อ snapshot เช่น now-20250625 หากต้องการเก็บสถานะ RAM ด้วย ให้ติ๊ก “Include RAM” เหมาะกับกรณีที่ต้องการกลับมาทำงานต่อจากจุดเดิมแบบเป๊ะๆ ใส่คำอธิบาย เช่น before update Home Assistant Core 2025.6.3 กด “Take Snapshot” แล้วรอไม่กี่วินาที ...

เมื่อโปรเจกต์เริ่มซับซ้อนขึ้น การมั่นใจว่าโค้ดมีคุณภาพดี และผ่านการทดสอบอย่างครอบคลุมก็ยิ่งสำคัญขึ้นตาม ทั้งหมดนี้เริ่มจากคำถามง่ายๆ: เทสที่เขียน…ครอบคลุมพอหรือยัง? มี code smell แอบซ่อนอยู่ไหม? โค้ดที่ขึ้น production แล้ว…ยังมี bug หลุดไปอยู่หรือเปล่า? คำตอบแบบ “น่าจะโอเคมั้ง” เริ่มฟังดูไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่ และนั่นแหละ… ถึงเวลาที่เราต้องพึ่งเครื่องมือวิเคราะห์โค้ดอย่าง SonarQube เพื่อช่วยจับจุดที่เรามองไม่เห็น และทำให้คุณภาพโค้ดดีขึ้นอย่างจริงจัง ทำไมต้อง SonarQube? SonarQube เป็นเครื่องมือวิเคราะห์คุณภาพของซอร์สโค้ด ที่สามารถรายงานได้ทั้ง Code Smells – โค้ดที่เขียนได้ แต่อาจทำให้เข้าใจยากหรือดูแลยากในระยะยาว Bugs – จุดที่อาจทำให้โค้ดทำงานผิดพลาดหรือเกิด error Duplications – โค้ดที่ซ้ำกันในหลายจุด ทำให้เปลี่ยนทีต้องแก้หลายที่ Security Issues – โค้ดที่อาจเปิดช่องให้เกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย Test Coverage – สัดส่วนของโค้ดที่ถูกครอบคลุมโดย unit tests Simple API ด้วย Node.js พร้อม Unit Test ด้วย Jest เพื่อให้เห็นภาพการใช้งาน SonarQube ชัดเจนยิ่งขึ้น เราจะยกตัวอย่างโปรเจกต์ Node.js เล็กๆ ที่มี API และเขียน unit test ครอบคลุมไว้ด้วย Jest ...

ก่อนหน้านี้เราใช้ Kafka เป็นหลัก ก็เลยชินกับการที่ข้อความในแต่ละ partition จะเรียงลำดับ พอเริ่มใช้ Google Cloud Pub/Sub จริงจังครั้งแรก ก็คิดว่า “มันก็น่าจะคล้าย ๆ กันแหละ…” แต่ความจริงคือ Pub/Sub ไม่จัดลำดับข้อความให้โดยอัตโนมัติ และเราก็เพิ่งรู้ตอนที่เจอปัญหาแล้ว 😅 ปัญหาที่เจอ อยู่ดี ๆ service ฝั่ง consumer เริ่มประมวลผลข้อความสลับลำดับ ทั้งที่ฝั่ง publisher ส่งมาเรียงตามลำดับที่ต้องการ เช่น: message 1 message 2 แต่กลับกลายเป็นว่า message 2 มาถึงก่อน message 1 ซะอีก ลองเช็กดูถึงรู้ว่า… Pub/Sub จะไม่เรียงลำดับข้อความ หากเราไม่ได้เปิด “Message Ordering” ตอนสร้าง subscription และที่สำคัญคือ ถ้าไม่ได้เปิดไว้ตั้งแต่แรก จะมาเปิดทีหลังไม่ได้ วิธีที่เราแก้ เราต้องลบ subscription เดิม แล้วสร้างใหม่ โดยเปิดตัวเลือก Enable message ordering ผ่าน Command Line: gcloud pubsub subscriptions create my-subscription \ --topic=my-topic \ --enable-message-ordering ผ่าน Google Cloud Console: ...

ปกติจะเป็นคนขี้เกียจทำความสะอาดห้องน้ำมาก บางครั้งปล่อยทิ้งไว้เกือบ 2 เดือน… 555+ เคยลองใช้บริการแม่บ้านในหมู่บ้านมาแล้ว 2 ชั่วโมง 600 บาท แต่ก็ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ เพราะทำความสะอาดแบบผ่าน ๆ ไม่ละเอียด ใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดของเราด้วย เลยเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ จนมาเจอแอป BeNeat ที่มีรีวิวดี ราคาก็ไม่ได้แรงเกินไป ดูแล้วน่าจะมีมาตรฐาน เอาวะ ลองดูสักตั้ง! ตัดสินใจจองครั้งแรกทันที หมายเหตุ: บล็อกนี้เป็นรีวิวจากประสบการณ์การใช้งานจริง ไม่ได้รับการสนับสนุนหรือสปอนเซอร์จาก BeNeat แต่อย่างใด เริ่มต้นยังไง? ดาวน์โหลดแอป BeNeat และสมัครใช้งานให้เรียบร้อย เลือกบริการทำความสะอาดทั่วไป เลือกประเภทที่พัก ในกรณีนี้เราเลือก บ้าน 2-3 ชั้น (100-200 ตร.ม.) ระบบจะแนะนำเวลา 4-6 ชั่วโมง แต่สามารถเลือกขั้นต่ำได้ที่ 2 ชั่วโมง เลือกวันและเวลา ที่ต้องการใช้บริการ ระบบจะแจ้งราคาเริ่มต้นที่ 520 บาท (ยังไม่รวม VAT 7%) กดไปยังหน้าชำระเงิน แล้วดำเนินการจ่ายเงินให้เรียบร้อย จากนั้นเราต้องรอแม่บ้านกดรับงานของเรา ซึ่งใช้เวลาไม่นาน แล้วสักพักแม่บ้านก็โทรมายืนยัน แม่บ้านมาถึงและเริ่มทำงานอย่างไร? ก่อนถึงเวลานัดหมายประมาณ 1 ชั่วโมง ระบบจะแจ้งเตือนว่าแม่บ้านกำลังเดินทางมา ไม่นานแม่บ้านก็นั่งวินมอไซค์มาถึง พร้อมอุปกรณ์ทำความสะอาดครบมือ แม่บ้านจะสอบถามว่าอยากให้ทำความสะอาดส่วนไหนบ้าง เราก็แจ้งไปว่าแค่ ห้องน้ำ 2 ห้อง จากนั้นแม่บ้าน ก็เริ่มทำงานทันที ...

เมื่อความเรียบง่ายคือคำตอบ ช่วงแรกที่เริ่มเขียนบล็อก เราเลือกใช้ Ghost แบบ self-host เพราะมันดู modern, editor ใช้งานดี Ghost รันผ่าน Docker ใน homelab ที่บ้าน แล้วเชื่อมต่อออกไปข้างนอกด้วย Cloudflare Tunnel + โดเมนของเราเอง ทุกอย่างทำงานได้ดี …จนเวลาผ่านไป เราเริ่มรู้สึกว่าเวลาเปิดหน้าเว็บ มันหน่วงขึ้นนิดหน่อย ไม่มากก็จริง แต่ก็พอจะรู้สึกได้ และเริ่มน่ารำคาญขึ้นเรื่อย ๆ ที่แย่กว่านั้นคือ มีอยู่วันหนึ่งไฟที่บ้านดับยาวทั้งวัน UPS ที่ต่อกับ homelab เอาไม่อยู่ เว็บเลยดับหายไปทั้งวันแบบดื้อ ๆ 😅 ตอนนั้นแอบคิดในใจว่า “นี่เรากำลังโฮสต์บล็อกตัวเอง หรือกำลังดูแล data center กันแน่นะ” ถึงเวลาหาอะไรใหม่ที่เบากว่า จริง ๆ แล้วเราก็ไม่ได้ต้องการระบบ CMS อะไรใหญ่โตเลย เขียนโพสต์ง่าย ๆ ด้วย Markdown Publish ได้ไว ไม่ต้องรอระบบอะไรทั้งนั้น ใช้ Git จัดการเวอร์ชันได้สะดวก ไม่ต้องรัน server หรือ database ให้ปวดหัว พอลองหาดู static site generator ที่ตอบโจทย์พวกนี้ เราก็มาเจอกับ Hugo ตัวเล็ก เร็ว และเรียบง่าย Compile แต่ละรอบแค่เสี้ยววินาที ...

ปกติแล้วอุปกรณ์ Zigbee จะทำงานเป็นแบบ Mesh เชื่อมต่อจาก Coordinator ไปเรื่อยๆ จนสร้างเครือข่ายครอบคลุมทั้งบ้าน ซึ่งอุปกรณ์ Zigbee ที่จะมาเชื่อมต่อเข้ากับ Coordinator ได้นั้น จะมี 2 ประเภทคือ Router และ End Device ประเภท Router จะช่วยทำการทวนสัญญาณ เพื่อช่วยให้อุปกรณ์ตัวต่อไปใช้งานได้ แต่ตัวที่เป็นปัญหาคือ End Device ทำงานแค่รับส่งข้อมูลได้อย่างเดียว ชั้น 2 บ้านเราจะเป็นสวิทช์ไฟ Zigbee ประเภท Router ใช้งานมาหลายปี จนวันนึงมันก็พัง เราจำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์ตัวใหม่มาแทน แต่สวิทช์ไฟ Zigbee มันดันเป็นแบบ End Device (มารู้เอาตอนมันเชื่อมต่อกับ Gateway เรียบร้อยแล้ว) ช่วงแรกๆ อุปกรณ์ Zigbee ชั้น 3 มันก็จะใช้งานได้บ้าง ไม่ได้บ้าง สัญญาณอ่อน จนบางครั้งขาดหายไปเลย ก็เลยเป็นที่มาของการใช้งาน Zigbee repeater นั่นเอง สินค้าไม่ได้ระบุแบรนด์แน่ชัด แต่ใช้ซิปของ Tuya โดยอุปกรณ์ในกล่องจะมีแค่ 2 ชิ้น Zigbee repeater คู่มือภาษาอังกฤษ วิธีใช้งานต้องหา adapter 5v เพื่อจ่ายไฟให้กับตัวเครื่อง เมื่อเสียบปลั๊กไฟสีน้ำเงินจะติด เพื่อบอกสถานะการทำงาน กรณีต้องการเข้าโหมด pair ใช้วิธีถอดเสียบเจ้าตัว Zigbee repeater 3 ครั้ง ก็จะเข้าโหมด pairing และไฟสถานะจะเปลี่ยนเป็นกระพริบรัวๆ หลังจากเชื่อมต่อกับ ZHA ของ Home Assistant ลองดูประเภทของตัวเครื่อง Device Type: Router ตรงส่วน View network เขาจะทำงานต่อจาก Coordinator แล้วก็ทวนสัญญาณต่อไปยังอุปกรณ์ Zigbee ชั้น 3 นั่นเอง ...

แนวทางการปรับจูน ZFS Proxmox รวบรวมจากประสบการณ์ผู้เขียนทั้งหมด หลังจากใช้งาน ZFS มาประมาณ 1 ปี อาจจะมีข้อมูลไม่ถูกต้อง 100% โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน Command line ใช้งานบน Proxmox VE 8.2.4 วิธีปรับจูน ZFS properties ใช้คำสั่งเดียว ในการปรับ properties ทั้งหมด ( อ้างอิง ) zfs set atime=off compression=lz4 recordsize=1M xattr=sa rpool วิธีปรับจูน ZFS volblocksize การตั้งค่า volblocksize ต้องทำก่อนที่จะสร้าง vm โดยไปที่ Proxmox UI (Datacenter -> Storage -> local-zfs -> Edit) กำหนด 64k ( อ้างอิง ) วิธีปรับจูน ZFS ARC nano /etc/modprobe.d/zfs.conf กำหนดค่า zfs_arc_min เริ่ม 2GB และ zfs_arc_max ตามที่เราอยากให้ arc ใช้งาน ( Convert Gigabyte to Byte ) ...

ย้อนกลับไปเมื่อนานมาแล้ว เราเคยประสบปัญหา น้ำท่วมบ้านเพราะว่าเครื่องกรองน้ำท่อชำรุด ซึ่งกว่าเราจะรู้ เลิกงาน ถึงบ้านประมาณ 2 ทุ่ม เดือนนั้นโดนค่าน้ำไปหลายบาท บัวผนังชำรุด จากการแช่น้ำนาน เราเลยมองหาอุปกรณ์ที่สามารถตรวจจับน้ำรั่ว รองรับ Zigbee และ Home Assistant ราคาไม่แพง! สินค้าเป็นของแบรนด์ MOES ใช้ซิปของ Tuya จำเป็นต้องมี Zigbee gateway ในการเชื่อมต่อ และสามารถเชื่อมต่อกับ Zigbee gateway ของ Tuya ได้แน่นอน แต่เราจะใช้ ZHA gateway เพื่อเชื่อมต่อเข้าไปที่ Home Assistant ด้านบนตัวเครื่องจะเป็นปุ่มกดเช็คสถานะ กด 1 ครั้งจะมีไฟแจ้งเตือนสีเขียว กดค้าง 5 วินาที คือการ reset ตัวเครื่อง เพื่อทำการ pairing gateway ด้านหลังตัวเครื่องจะมี sensor เมื่อสัมผัสโดนน้ำ จะแจ้งสถานะ พร้อมไฟแจ้งเตือนสีเขียวกระพริบ 6 ครั้ง ใช้เหรียญหมุนทวนเข็มนาฬิกา เพื่อเปิดตัวเครื่อง ข้างในจะมี battery CR2032 (ติดมากับเครื่อง) และหมุนตามเข็ม เพื่อปิดตัวเครื่อง เมื่อเชื่อมต่อกับ Home Assistant สามารถเขียน automation เช็คสถานะ sensor ได้ดังนี้ ...